สธ. เตรียมขยายฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่2009
ให้หญิงตั้งครรภ์ ในโรงพยาบาลเอกชน
สาธารณสุข เตรียมขยายฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009
ให้หญิงตั้งครรภ์ เพิ่มในโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ
ขณะนี้มีสมัครขอเข้าร่วมอีก 43 แห่ง จากเดิมมี 212 แห่ง
คาดจะพิจารณาให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้
สรุปผลฉีดวัคซีนขณะนี้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงทยอยฉีดเพิ่มขึ้น
เพราะมั่นใจความปลอดภัยมากขึ้น
วันนี้ (27 มกราคม 2553)
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009
ในโรงพยาบาลเอกชนว่า
มีประชาชนกลุ่มเสี่ยงให้ความสนใจมาร่วมฉีดวัคซีนจำนวนมาก
ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนสมัครใจเข้าร่วมในการฉีดวัคซีน 212 แห่ง
เป็นโรงพยาบาลในเขตกทม. 53 แห่ง และมีอีกประมาณ 43 แห่ง
แสดงความจำนงต้องการร่วมให้บริการฉีดวัคซีนให้หญิงตั้งครรภ์
ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในสัปดาห์นี้
โดยโรงพยาบาลเอกชนที่จะเข้าร่วมโครงการต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดคือ
ต้องไม่คิดค่าวัคซีน เนื่องจากเป็นการสนับสนุนของรัฐบาล
และขอความร่วมมือไม่ให้คิดค่าบริการฉีดวัคซีน ค่าเข็มฉีดยา
และกระบอกฉีดยา กับหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากท้องในโรงพยาบาล
ส่วนค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่ายาบำรุงเลือด
ให้คิดเงินได้ตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
นายแพทย์โอภาส
กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้โรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ขอวัคซีนเพิ่มเข้ามาอีก 5,000
โด๊ส ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จ่ายวัคซีนให้โรงพยาบาลเอกชนไปแล้ว 3
หมื่นโด๊ส หากโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมโครงการฯอีก 43 แห่ง
ก็จะมีโรงพยาบาลเอกชนชนทั้งหมดร่วมโครงการทั่วประเทศ 255 แห่ง
รวมจะได้รับวัคซีนสำหรับให้บริการทั้งหมดจำนวน 5 หมื่นโด๊ส
แต่ละแห่งให้รายงานการฉีดให้กรมควบคุมโรคทุกเดือน ขณะนี้ทั่วประเทศ
มีรายงานการใช้วัคซีนเข้ามา 74 จังหวัดรวม 52,398 ราย
แนวโน้มการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ประชาชนมีความตื่นตัว
เข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ได้ฉีดวัคซีนเป็นตัวอย่างทำให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้าใจว่าวัคซีนมีความปลอดภัย
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่ออีกว่า
ส่วนเรื่องการรักษาผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009
ซึ่งเป็นยาที่ใช้กินและยาพ่นนั้น
ที่ผ่านมาพบว่าผู้ป่วยบางรายที่มีอาการหนักไม่สามารถรับยาได้
หรือระบบทางเดินอาหารมีปัญหาดูดซึมยาไม่ได้ ก็จะใช้ยาพ่นแทน
แต่บางรายก็ใช้ยาพ่นไม่ได้เนื่องจากต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ยังมีวิธีการใช้ยานี้คือการฉีดเข้าทางเส้นเลือด
ซึ่งขณะนี้หลายประเทศกำลังพัฒนายาฉีด
ส่วนประเทศไทยเรากำลังติดตามสถานการณ์ในเรื่องของยาฉีดอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากยานี้อยู่ในขั้นตอนของการวิจัย
ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนในหลายประเทศ
ตามข่าวมีประเทศญี่ปุ่นที่ขึ้นทะเบียนแล้ว
ขณะนี้กำลังจะติดต่อและดำเนินการสั่งเข้ามาเพื่อฉีดให้กับประชาชนที่มีอาการหนัก
ส่วนเรื่องของประสิทธิภาพของยาใกล้เคียงกับยาตัวเดิม
คือโอเซลทามีเวียร์ แต่เนื่องจากประสบการณ์การใช้มีน้อยเพราะเป็นยาใหม่
ก็คงจะต้องติดตามอาการและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดขณะที่ใช้ยาด้วย
**************************************** 27 มกราคม 2553
|
แหล่งข่าวโดย.... สำนักสารนิเทศ
[27/ม.ค/2553]
| |